วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

หอระฆัง (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)

หอระฆัง (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)






หอระฆัง ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระอุโบสถ สร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นใหม่โดยมีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมไทย ย่อมุมไม้สิบสอง (สี่ด้าน ด้านละสามมุม) ประดับด้วยเครื่องถ้วยชามแบบจีน เป็นลวดลายต่างๆวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ปัจจุบันได้มีการบูรณะซ่อมแซมใหม่เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549
กล่าวกันว่าองค์ระฆัง ได้มาจากวัดระฆังโฆษิตาราม ซึ่งสมเด็จพระพุทธาจารย์โต พรหมรังษีได้ขุดพบพร้อมกับระฆังอีก 5 ใบ แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่าเท็จจริงประการใด เนื่องจาก หอระฆังแห่งนี้ตั้งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ระฆังใบนี้จึงจะตีเฉพาะโอกาสสำคัญๆ เท่านั้น



วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

อุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)


อุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)




ขอกล่าวถึง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325


เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว พบเจอวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มี พระสงฆ์ จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส


วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด การบูรณะครั้งใหญ่ทั้งพระอาราม มีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ


วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ



อาคารต่างๆในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เนื่องจากภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมีอาคารสำคัญและอาคารประกอบเป็นจำนวนมาก จึงขอแบ่งกลุ่มอาคารออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งและความสำคัญ ดังนี้


กลุ่มพระอุโบสถ

กลุ่มพระอุโบสถ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิ์ธาตุพิมาน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง หอพระคันธารราษฎร์ และวัด


กลุ่มฐานไพที

กลุ่มอาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่นๆเช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์ และ พนมหมาก


กลุ่มอาคารประกอบอื่นๆ

เป็นกลุ่มอาคารและสิ่งประดับอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มอาคารทั้งสองกลุ่ม ประกอบด้วย หอพระนาก พระเศวตกุฏาคารวิหารยอด หอมณเฑียรธรรม พระอัษฎามหาเจดีย์ ยักษ์ทวารบาล และจิตรกรรมฝาผนังที่ พระระเบียง ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ มีเนื้อหาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์


      อุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)  ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม ๘ ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๒๖ เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (แก้วมรกต) ที่พระองค์ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๒


ในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้ใช้เวลา ๓ ปี สำเร็จเรียบร้อยลงใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ต่อมา เมื่อประมาณได้เกิดเพลิงไหม้บุษบกทรงพระแก้วมรกตซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมขึ้นใหม่ให้ทันฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในปลายรัชกาล



หลักฐานการก่อสร้างและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรม ของพระอุโบสถในรัชสมัยนี้ไม่ชัดเจนนัก นอกจากบ่งไว้ว่า ฝาผนังรอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ



ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบซึ่งปรากฏว่ามีการแก้ไขในรัชกาลที่ ๓ และ ๔ ในภายหลังดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน


พระทวารกลาง เป็นพระทวารใหญ่สูง ๘ ศอกคืบ กว้าง ๔ ศอกคืบ ตัวบานเป็นบานประดับมุกลายช่องกลม ส่วนพระทวารข้างเป็นทวารรองสูง ๗ ศอก กว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ ๑๐ นิ้ว ตัวบานเป็นบานประดับมุกกลายเต็ม ซึ่งบานพระทวารทั้ง ๒ แห่งนี้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นว่า "เป็นฝีมือที่น่าชมยิ่ง ตั้งใจทำแข่งกับบานที่ทำครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งอยู่ที่วิหารยอด"


ภายในพระอุโบสถได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตั้งแต่เพดานถึงพื้น กลางห้องประดิษฐานพระแก้วมรกตในบุษบกทองคำพร้อมด้วยพระพุทธรูปสำคัญมากมาย


พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนตอนต้น ทำจากหินหยกสีเขียวเข้มทึบแสง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก ๔๓ ซม. สูง ๕๕ ซม.


พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างอุทิศให้กับรัชกาลที่ ๑ และ ๒ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องต้นพระจักรพรรดิราช เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มทองคำลงยาราชาวดี เครื่องต้นประดับเนาวรัตน์ ใช้ทองคำเท่ากับทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา


พระสัมพุทธพรรณี รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างใน พ.ศ. ๒๓๗๓ ตามอย่างพุทธลักษณะที่พระองค์ทรงสอบสวนได้ สร้างจากกะไหล่ทองคำ ปางสมาธิหน้าตักกว้าง ๔๙ ซม. สูงถึงพระรัศมี ๖๗.๕ ซม. มีการเปลี่ยนพระรัศมีเป็นสีต่าง ๆ ตามฤดูกาล พร้อมกับการเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
 



อ้างอิง : 
http://www.baanmaha.com/community/thread33621.html 

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ยักษ์วัดพระแก้ว


ยักษ์วัดพระแก้ว




เมื่อพูดถึงนายทวารบาล เผ้าประตูวัดแล้วไม่มีนายทวารบาลใด จะขึ้นชื่อลือชาเท่ากับยักษ์เป็นไม่มี

        ยักษ์ที่เป็นนายทวารบาล ซึ่งมีชื่อเสียงมาก่อนยักษ์อื่นใด ก็เป็นยักษ์วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) ต่อมาก็เป็นยักษ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) แล้วก็ยักวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดรพระแก้ว) ยักษ์
        วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์นั้น ตามประวัติฉบับปากต่อปาก ก็ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมาซึ่งกันและกัน ทั้งที่เป็นเผ่ายักษ์เหมือนกัน เคยท้าตีท้าต่อยและเอากันจริง ๆ จนป่าไม้ชายเลนและไม้อื่น ๆ หน้าวัดโพธิ์ราบเรียบเป็นท่าเตียนไปครั้งหนึ่ง แต่บัดนี้คงมีผู้ไกล่เกลี่ยและปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ท่าเตียนจึงเป็นท่ารก ทำลายศรีสง่าของวัดโพธิ์ ที่มองจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่เห็นทัศนียภาพยอดพระเจดีย์เสียดฟ้า ช่อฟ้าใบระกาของพระอุโบสถ พระวิหาร และปูชนียวัตถุอื่น ๆ ระวังท่าน้ำวัดแจ้งไว้ให้ดีอย่าให้รกรุงรัง จนบังพระปรางค์วัดแจ้ง โดยเฉพาะบังตัวยักษ์วัดแจ้งเสียเองก็แล้วกัน 

        ยักษ์วัดแจ้งนั้นสูง ๗ เมตร เครื่องแต่งกายประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นดอกดวงต่าง ๆ สวยงาม หน้าตา ท่าทาง ขึงขัง ยืนหันหน้าออกพระอุโบสถ(หันหลังให้โบสถ์) ลักษณะการยืนไม่ได้ยืนตรงเหมือนยักษ์วัดพระแก้ว แต่ยืนเข่ากาง หรือย่อเข่า ถือกระบอง 

ประวัติการสร้างยักษ์วัดแจ้งนี้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จฯ ฉบับคุรุสภาจัดพิมพ์เล่มที่ ๒๖ (หน้า ๑๓๔) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

 “….ยักษ์วัดแจ้งนั้น เขาพูดถึงของเดิมว่า เป็นฝีมือหลวงเทพกัน” คำว่า “หลวงเทพ” นั้น จะเป็นหลวงเทพรจนา หรือหลวงเทพยนต์ อะไรก็ไม่ทราบ แต่คำว่า “กัน” เป็นชื่อตัวแน่ เพราะฝีมือแกดี จึงโปรดให้ปั้นรูปไว้ รูปเก่านั้น พังไปเสียแล้ว ที่ยืนอยู่บัดนี้ เป็นของใหม่ก่อนท่านเจ้านาค(เจ้าอาวาสวัดอรุณฯ ในราวปลายรัชกาลที่ ๖) ไปอยู่เป็นแน่ เข้าใจว่า ยักษ์วัดแจ้งนี้แหละ ทำให้เกิดยักษ์ในวัดพระแก้วขึ้น”

       ส่วนยักษ์วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นนายทวารบาล เหมือนทำหน้าที่พิทักษ์รักษาปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานนั้น ในหนังสือจดหมายเหตุ เรื่องปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้กล่าวถึงประวัติการปั้นยักษ์ว่า 

“….ครั้งปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเตรียมงานมหกรรมฉลองกรุงเทพมหานคร จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี และสมโภชพระแก้วมรกตด้วย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ นั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงของแรงพระบรมวงศานุวงศ์ให้ทรงรับเป็นนายงานทำการปฏิสังขรณ์ทุกพระองค์ และโปรดฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) ทำหอพระคันธารราษฎร์ และหอพระเจดีย์ประดับกระเบื้อง และปูศิลา และทำกำแพงแก้วภายนอกและทำเพดานเขียน ปั้น ปูพื้นและทำเรือนแก้วภายนอกพระคันธารราษฎร์ ทำใหม่ทั้งสิ้น และปั้นประดับกระเบื้อง รูปยักษ์ประตูคู่หนึ่ง” 

คงเป็นคู่มังกรกัณฐ์ และวิรุฬหกที่ยืนอยู่หน้าประตูหน้าหอพระคันธารราษฎร์ ซึ่งทรงเป็นนายงานนั้นเอง อนึ่ง

         ยักษ์วัดพระแก้วนี้ ในหนังสือ สาส์นสมเด็จฯ ฉบับคุรุสภา เล่มที่ ๑๖ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

 “…ยักษ์วัดพระแก้วนั้น คงทำขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เป็นประเดิมเพราะจำได้ว่า คู่ทศกัณฐ์-สหัสเดชะนั้นเป็นฝีมือหลวงเทพรจนา(กัน) คือมือที่ปั้นยักษ์วัดอรุณฯ สันนิษฐานว่า เพราะเวลานั้น มีช่างฝีมือดี ๆ จึงได้ทำขึ้นไว้ เพราะทำแกนด้วยไม้ ครั้นไม้ผุก็ล้มซวนทลายไปบ้าง ถึงเมื่อซ่อมคราว ๑๐๐ ปี จึงกลับเกณฑ์กันขึ้นใหม่ นับว่าเป็นการสมควรอยู่ เพราะเวลานั้นช่างปั้นอันมีฝีมือพอดูได้ยังมีอยู่บ้าง…”

         ยักษ์วัดพระแก้ว นายทวารเฝ้าประตูนี้ มีอยู่ทั้งหมด ๑๒ ตน แต่ละตนล้วนเป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิพล เป็นผู้ครองนคร เป็นลูกหลวง รัชทายาทเกือบทั้งสิ้น และเป็นที่ควรสังเกตว่ายักษ์เหล่านี้ ล้วนเป็นวงศาคณาญาติ หรือสัมพันธมิตรของทศกัณฐ์ทั้งหมด 

         เจตนารมณ์ของท่านผู้ดำริริเริ่มปั้นยักษ์เฝ้าประตูให้เป็นพวกเดียวกันนี้ ก็เป็นการสมควร เพราะการเฝ้าพิทักษ์รักษาปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานอันสำคัญอย่างยิ่งนั้น ถ้าผู้เฝ้าเป็นคนละพวก คนละหมู่ ก็ยากในการดูแลรักษา และยุ่งยากในการปกครอง ฉะนั้น จึงจัดให้เป็นยักษ์พวกเดียวกัน โดยมีทศกัณฐ์เป็นประธาน และแกนกลางสำคัญ 

อนึ่งการยืนเฝ้าของยักษ์ทั้ง ๑๒ ตนไม่เหมือนกับการยืนเฝ้าของทวารบาลอื่นเช่นยักษ์วัดแจ้งเป็นต้น ซึ่งยืนหันหลังให้สิ่งที่ตนเฝ้า แต่ยักษ์วัดพระแก้วยืนหันหน้าเข้าหาพระอุโบสถ 

        ยักษ์ทั้ง ๑๒ ตนนี้ เครื่องแต่งกายประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ตบแต่งเป็นดอกดวงสวยงามมาก ยืนเฝ้าประตูอยู่เป็นคู่ ๆ ๖ ประตู จะนับตั้งแต่คู่ประตูทางขึ้นหอพระเทพบิดร(เข้าทางประตูสวัสดิโสภาหน้ากระทรวงกลาโหม) ไปทางหอพระคันธารราษฎร์(หน้าโบสถ์) เป็นลำดับ ดังนี้ 

คู่ที่ ๑. สุริยาภพ สีแดงซาด อินทรชิต สีขาว
คู่ที่ ๒. มังกรกัณฐ์ สีเขียว วิรุฬหก สีม่วงแก่ 
คู่ที่ ๓. ทศคีจันธร สีหงส์ดิน ทศคีรีวัน สีเขียว 
คู่ที่ ๔. จักรวรรดิ์ สีเขียว อัศกรรณมาราสูร สีม่วงแก่ 
คู่ที่ ๕. ทศกัณฐ์ สีเขียว สหัสสเดชะ สีขาว
คู่ที่ ๖. ไมยราพ สีม่วงอ่อน วิรุฬจำบัง สีหมอก 

ขอเชิญชวนท่านไปชมศิลปของการปั้น และการประดับกระเบื้องเคลือบ ซึ่งเป็นศิลปของไทยแท้ควรชื่นชม




วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

กฏและข้อห้ามในการเข้าเยี่ยมชมวัดพระแก้ว

 
 
กฏและข้อห้ามในการเข้าเยี่ยมชมวัดพระแก้ว




กฏและข้อห้ามมีดังต่อไปนี้


1. ไม่ควรใช้แฟลชในการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายกับภาพจิตกรรมได้

2. ภายในอาคารอื่นทั้งหมดโดยเฉพาะพระอุโบสถ ห้ามถ่ายภาพอย่างเด็ดขาด ฝ่าฝืนมีโทษปรับ และยึดสื่อบันทึก

3. การเข้าชมเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องทำหนังสือขออนุญาต ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารเงินตรา ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์

4. ห้ามสวมกางเกงหรือกระโปรง ที่มีชายสูงกว่าเข่าทุกชนิด เสื้อที่เปิดไหล่ทุกชนิด อาทิ เสื้อกล้าม เสื้อไม่มีแขน เกาะอก เป็นต้น และกางเกนยีนส์ขาดๆ

5. ห้ามสวมรองเท้าที่เปิดส้น รองเท้าแตะ และรองเท้าอื่นๆที่ไม่สุภาพทุกประเภท

6. ไม่ควรส่งเสียงดังในขณะเข้าชม และไม่ทิ้งขยะให้สกปรกภายในบริเวณวัด

เมื่อรู้ข้อห้ามและข้อปฏิบัติดังกล่าวแล้ว เพื่อนๆทุกคนก็ควรปฏิบัติตาม และเข้าเยี่ยมชมกันอย่างมีระเบียบ เพื่อที่จะสามารถช่วยกันเก็บรักษาสถานที่อันสวยงาม และน่าศรัทธา ไว้ให้คนอื่นๆได้มาเยี่ยมชม และเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับเมืองไทยของเรานะจ๊ะ

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

VDO พาเที่ยวชมวัดพระแก้ว


VDO พาเที่ยวชมวัดพระแก้ว






วัดพระศรีรัตนศาสดาราม


 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 

     



       วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว พบเจอวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส

วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด การบูรณะครั้งใหญ่ทั้งพระอาราม มีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ

วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ